เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
(กฐิน)
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ต่อไปเขาจะทอดกฐิน ก่อนจะทอดกฐิน เราจะเทศน์ธรรมะก่อน ถ้าเทศน์ธรรมะแล้วเพื่อให้เราพร้อม ให้เราพร้อม ให้เราเข้าใจว่าเราจะทำอะไรกัน ถ้าเราพร้อมว่าเราจะทำอะไรกันแล้ว การกระทำนั้นมันจะสมบูรณ์
ถ้าอย่างนั้นก็สักแต่ว่าทำๆ พอทำเป็นพิธีพอให้มันพ้นๆ ไปไง คนที่มีศรัทธามีความเชื่อเขาก็ตั้งใจของเขามานะ แล้วคนที่มีความเชื่อมีความศรัทธาเขาก็ชวนเพื่อนเขามา พอเพื่อนเขามาก็บอกว่า แหม! ไปเพราะขัดไม่ได้ พอขัดไม่ได้ก็ขอทำให้มันพ้นๆๆ ไปไง
ฉะนั้น ถ้ามันตั้งใจจริง ตั้งใจจริง วันนี้วันจะทอดกฐิน เวลาจะทอดกฐิน บังเอิญหลวงปู่ลีท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านได้เสียชีวิตไป เราพิมพ์ประวัติหลวงปู่ลีมาแจกๆ อยู่นั่นน่ะ บังเอิญถ้าไม่มีกฐิน เราก็อยู่นู่นแล้ว แต่นี้เราไปล่วงหน้า เราไปมาแล้ว เสร็จแล้ว
เพราะคำว่า “หัวใจของคนๆ” ไง เวลาหลวงตาท่านไปไหนท่านไปเอาหัวใจของคนๆ
นี่ก็เหมือนกัน คนที่เคารพบูชารู้จักหลวงปู่ลี มันก็ได้ฉุดกระชากควักหัวใจไปดวงหนึ่ง แต่คนที่ไม่รู้จักก็ไม่รู้ แต่คนที่รู้จักนะ ดวงใจดวงหนึ่งโดนควักไปแล้ว แต่นั่นมันก็เป็นผู้ที่รู้ไง ผู้ที่รู้เขารู้เขาเข้าใจของเขา
ผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ถ้ายังไม่เข้าใจ เราก็มีคนชวนมา มีคนฉุดกระชากลากมา เราก็มาทำกฐินเสียทีหนึ่ง การทำบุญกฐินนี้ก็เพื่อฝังไว้ในหัวใจของตน ถ้าหัวใจของตนได้มีบุญกุศล บุญกุศลในพระพุทธศาสนา ในเรื่องของทานๆ เขาบอกว่าบุญกฐินนี่บุญที่ยิ่งใหญ่ ถ้าบุญที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่ยิ่งใหญ่เพราะอะไร เพราะมันเป็นวินัยกรรม
พอเป็นวินัยกรรม ภายในหนึ่งเดือนนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตให้พระจำพรรษาแล้วให้รับกฐินนั้นได้ ถ้ารับกฐินนั้นได้ รับมาเพื่ออะไร นี่ไง เวลารับมา ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ผ้ากฐินเขาเอามาเย็บตัดย้อมกันเพื่อเวลาได้เปลี่ยนผ้า แล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทำไม ไปรายงานผลการปฏิบัติไง
เวลาในพรรษาหนึ่งๆ เขาเร่งความเพียรของเขา เวลาออกพรรษาแล้วมีสิ่งใดที่ขัดข้องหมองใจ สิ่งใดที่ตกค้างในใจก็จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปิดหัวใจนี้ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรวจได้สอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้แจงว่าถูกหรือผิดการกระทำนั้น บุญกฐินมันเริ่มต้นมาจากนี้ไง
แต่ถ้าบุญกฐิน เรามาทอดกฐิน ทอดกฐินกัน เวลาคนเรา สิ่งที่คนยังไม่เชื่อถือมั่นคงในพระพุทธศาสนาว่า พระพุทธศาสนาเป็นลูกตุ้มสังคม ศาสนาเป็นที่เอาเปรียบสังคม ศาสนานี้ไม่ทำหน้าที่การงาน เอาแต่ผลประโยชน์ๆ ไง
แต่เวลาคนที่เขามีจิตมีศรัทธามีความเชื่อของเขา เขาจะทำบุญกุศลฝังในหัวใจของเขา เขาจะเชิดชูบูชา สิ่งนี้เราสนับสนุน เราอนุเคราะห์สงเคราะห์หมู่สงฆ์ๆ หมู่สงฆ์เพื่อค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของตน
เวลาพระเจ้าพิมพิสาร เวลาเจ้าชายสิทธัตถะหนีออกจากเมืองมา ให้กองทัพครึ่งหนึ่งให้คนไปรบเอาเมืองคืน เจ้าชายสิทธัตถะบอกไม่ใช่ ตั้งใจมาประพฤติปฏิบัติๆ พระเจ้าพิมพิสารขอสัญญาไว้ว่า ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะประพฤติปฏิบัติแล้ว ถ้าบรรลุธรรมแล้วให้มาสอนด้วย ให้มาสอนด้วย
นี่ก็เหมือนกัน เรามาทอดกฐินๆ เราสนับสนุนให้พระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติของเขา เขาได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติของเขา ถ้าประพฤติปฏิบัติของเขาเพื่อคุณธรรมในใจของเขา ถ้าเพื่อคุณธรรมในใจของเขา คนตาดีบอกสั่งสอนโลกได้ คนตาบอดไม่มีสิทธิ์ คนตาบอดสั่งสอนโลกไม่ได้ คนตาบอดเป็นลูกตุ้มสังคม เอารัดเอาเปรียบ เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน การทอดกฐินๆ ถ้าทอดกฐินถ้าเป็นโลก เวลาคำว่า “เป็นโลก เป็นธรรม” เราแบ่งกันไม่ออกไง เราอยู่ เหรียญมีสองด้าน ด้านหนึ่งคือด้านโลก ด้านหนึ่งคือชีวิตประจำวันของเรา ด้านหนึ่งคือความเป็นอยู่ของเรา
ด้านธรรมๆ ด้านธรรมนะ ในครอบครัวของเรามีความสุขหรือความทุกข์ ในครอบครัวของเรามีความรื่นเริงอาจหาญหรือไม่ ความเป็นอยู่ปัจจัยเครื่องอาศัยนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง เรื่องของร่างกายนี้ แต่เรื่องของจิตใจนะ ในครอบครัวของเรามีความสมานฉันท์ ในครอบครัวของเรามีความสุข ในครอบครัวของเราเจรจากันได้ พูดกันรู้เรื่อง ในครอบครัวของเรามีแต่ความสุขความสงบระงับ อันนั้นล่ะบุญกุศล
นี่โลกกับธรรมๆ ถ้าโลกก็เป็นเรื่องของวัตถุ โลกก็เป็นเรื่องของการโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ ถ้าโลกของธรรม โลกของธรรมไม่ต้องพูดอะไร สบตาแล้วก็มีความสุข สบตากันแล้วก็จบ นี่ไง บุญกุศลมันเป็นบุญกุศลไง
แล้วถ้าเป็นเรื่องโลกๆ เห็นไหม นี่กองกฐินใหญ่ที่สุดในโลก เงินมากที่สุดในโลก มีความมหัศจรรย์ยิ่งกว่าโลก นี่มันเป็นเรื่องโลกๆ เรื่องแข่งขัน มีความแข่งขันกัน เวลาแข่งขันกันมันก็พยายามแสวงหา ความแสวงหามาเพื่ออะไร
นี่ไง เรามาทำบุญกุศลกัน เรามาเพื่อความสงบระงับใช่ไหม เรามาเพื่อการเสียสละใช่ไหม เราจะไปแสวงหาสิ่งใด หลวงตาท่านเสียดสีประจำ ไก่ สำคัญตนว่าเป็นไก่มีหงอน
คำว่า “ไก่มีหงอน” เราไม่มี ไก่มันมีหงอนของมัน มนุษย์ไม่มีหงอนหรอก แต่ก็พยายามจะแสวงหา พยายามจะฉกฉวย พยายามจะกระทำขึ้นมา นั่นเรื่องของโลก
ถ้าเรื่องของโลก ทอดกฐินแบบโลกๆ ใหญ่ที่สุดในโลก มากที่สุดในโลก นี่ในโลก แล้วในโลกได้อะไรขึ้นมา แล้วปีหน้า คนต่อไปก็ทำให้ยิ่งใหญ่กว่านั้นใช่ไหม สูงกว่านั้นไปอีก สูงไปเรื่อยๆ แล้วยิ่งใหญ่ในโลกมันไปจบกันที่ไหน
แต่ถ้าเป็นธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเผยแผ่ธรรมๆ บริษัท ๔ เวลาภิกษุนะ เวลาตกทุกข์ได้ยากมา เวลาภิกษุไข้ไม่มีใครดูแลรักษาเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้อุปัฏฐากเอง แล้วบอกกับพระนะ “ถ้าใครอยากอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ให้อุปัฏฐากพระป่วยเถิด”
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดูแลพระ เวลาพระประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เวลาไปกลัวผี ไปเข้าป่าเข้าเขาไป วิ่งกลับมาหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ให้ระลึกถึงพระพุทธ ให้กำหนดพุทโธไป ให้ระลึกถึงพระธรรม ให้ระลึกถึงพระสงฆ์
นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์วางธรรมวินัยนี้ไว้ วางมาแบบรากลึกซาบซึ้งเข้าไปในใจของบริษัท ๔ นี่เวลาเป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมแบบนี้
ประเพณีวัฒนธรรม ดูสิ เวลาแหล่งท่องเที่ยวเขาจะจัดประเพณีอะไรต่างๆ ใครเป็นคนทำ คนทั้งนั้นน่ะ แล้วคนเอามาจากไหน ก็เอามาจากสัญญาเดิม จากที่เราเห็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราทำมา นี้คือประเพณีวัฒนธรรมที่มันจะออกมาจากหัวใจของเรา แล้วเราทำขึ้นมาให้มันเป็นรูปธรรมให้สิ่งนี้เพื่อประโยชน์กับโลก นี่ถ้ามันเป็นธรรมๆ เราส่งต่อเป็นชั้นๆ นะ จากพ่อแม่สู่ลูก จากลูกสู่หลานสู่เหลนไป ให้เพื่อศาสนามั่นคงไป
เรามาทอดกฐินด้วยความเป็นธรรมไง เราไม่ได้ทอดกฐินแบบโลกๆ ไง ไปแข่งขันกัน ไปพยายามใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่ที่สุดในโลก
เราก็แปลกใจ ใหญ่ที่สุดในโลก โรงงานหล่อมันได้ตังค์ทั้งนั้นนะ ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นของใคร โรงงานหล่อพระพุทธรูปทั้งนั้นน่ะ เอ็งทำอะไรขึ้นมา เอ็งมีอะไรใหญ่ที่สุดในโลก หัวใจเอ็งยิ่งใหญ่หรือไม่ หัวใจเอ็งเป็นขี้ข้า หัวใจเอ็งเป็นทาส ทาสกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อยากดัง อยากใหญ่ อยากให้เขาเชิดชูไง
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขา ครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ โคนต้นโพธิ์ ในป่าป่าหนึ่งมีต้นโพธิ์ต้นยิ่งใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง เอกบุรุษผู้หนึ่งไปนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้น กำหนดปฏิจจสมุปบาท ด้วยมรรคญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านค้นคว้าท่านขวนขวายของท่าน ท่านเข้าป่าเข้าเขาไปกับท่าน
คำว่า “เข้าป่าเข้าเขาไป” ไม่ใช่เอามาเปรียบเทียบเสียดสีกับโลกนะ โลกที่ไหนที่มันเจริญรุ่งเรือง โลกที่ไหนที่มันมีความอุดมสมบูรณ์ ที่นั่นเป็นสิ่งที่ปรารถนา ที่ไหนที่ขาดแคลน ที่ไหนที่อัตคัดขาดแคลน เราไม่ปรารถนาสิ่งนั้น นี่เรื่องโลกๆ โลกๆ ต้องการความมั่นคงของชีวิต โลกๆ ต้องการความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต แต่สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ความอุดมสมบูรณ์มันเป็นฤดูกาล มันเป็นครั้งเป็นคราวที่มันจะเป็นของมัน เห็นไหม
แต่หัวใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจที่ยิ่งใหญ่สิ หัวใจที่ยิ่งใหญ่ ความอัตคัดขาดแคลน หลวงตาท่านเทศน์สอนประจำ ธรรมะจะเกิดในที่อัตคัดขาดแคลน ธรรมะจะเกิดในที่นั้นเพราะอะไร เพราะคนเรามันขาดมันแคลนขึ้นมาแล้วกิเลสมันดิ้นมันรนไง เราอยู่ในที่สุขที่สงบที่อุดมสมบูรณ์ เรานอนจมอยู่นั่นน่ะ สุขหนอๆ มันโดนกิเลสหลอกอยู่นั่น มันจะตายอยู่นั่นมันยังไม่รู้จักเลย
เวลาเราเข้าไปอยู่ในป่าในเขาไม่มีจะกิน นู่นก็ไม่มี นี่ก็ไม่มี น้ำท่าก็ต้องหิ้วขึ้นมาเอง ต้องแสวงหาเอง ความทุกข์ความยากเราทำของเราขึ้นมาเอง สิ่งที่เราทำมาทำไมมันอัตคัดขาดแคลนไปหมด แล้วถ้าจิตใจของสาวกสาวกะผู้ประพฤติปฏิบัติอ่อนแอ ทำไมเราต้องมาทุกข์มายากอย่างนี้ ในวัดในวาทั่วไปอุดมสมบูรณ์ทั้งนั้น อยู่ห้องแอร์ อยู่อาหารอุดมสมบูรณ์ ทำไมเราต้องมาทุกข์มายากอย่างนี้
เราจะมาทุกข์มายากขึ้นมาเพราะเราจะค้นคว้าหากิเลสในใจของตนไง ถ้ามันสุขมันสงบมันระงับขึ้นมา มันไม่มีกิเลสหรือ นั่นน่ะกิเลสยิ่งใหญ่ ดีและชั่ว เวลาชั่วนี่เห็น เวลาดีนี่มองไม่เห็น
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันสุขสงบระงับมันอุดมสมบูรณ์ มันนอนจมอยู่นั่นน่ะ เดินจงกรมก็ไม่เป็น นั่งสมาธิก็ไม่เป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอะไรก็ไม่รู้ สอนเอาไว้สอนประชาชน สอนเอาไว้พระมาเทศน์ เทศน์เพื่อหาผลประโยชน์ ไม่ได้คิดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเราเลย
สอนเราๆ กินแล้วนอน กอนแล้วนิน มันเป็นหมู บวชมาเป็นพระ ไม่ใช่บวชมาเป็นหมู ถ้าบวชมาเป็นหมู หมูให้เขาขุนอ้วนๆ ใช่ไหม นี่ถ้ามันเป็นธรรมๆ ถ้ามันเป็นจริงๆ มันคิดได้ มันระลึกได้
เราเข้าป่าเข้าเขาไปไม่ใช่ประชดสังคม หลวงตานะ เวลาท่านสร้างวัด ลูกศิษย์ของท่านยิ่งใหญ่ทั้งนั้นน่ะ เวลาไปดูกุฏิกุตังของท่านมันเล็กน้อย อู๋ย! ร้องห่มร้องไห้เลย อยากจะให้ท่านอยู่สุขสบายไง
ท่านบอกว่า ไม่ต้องมายุ่งกับเรานะ ไอ้นี่เรื่องของโลกๆ มุมมองเป็นอย่างนั้น อยากจะสะดวกอยากจะสบาย แต่เรื่องของธรรม เรื่องของธรรม ธรรมมันยิ่งใหญ่ไง กระต๊อบห้องหอมันอยู่สะดวกอยู่สบาย อัพโภกาสิกังคะ อยู่ในเรือนว่าง ร้าน กระต๊อบห้องหอ นี่ธุดงควัตรข้อหนึ่ง
อยู่ในเรือนว่าง เรือนว่างหมายความว่ามันไม่มีฝาบังอยู่ อากาศมันก็ปลอดโปร่งใช่ไหม สรรพสิ่งมันเป็นธรรมชาติใช่ไหม ถ้ามันเป็นจริง จิตใจที่เป็นธรรมๆ เป็นธรรมอยู่กับสัจจะความจริง ไม่ได้ออดอ้อนขอร้องใครมาเลย มันเป็นไปตามความจริง เราอยู่กับธรรมชาติ เราอยู่กับสัจจะความจริง ฝนตกฟ้าร้องมันก็เป็นเรื่องของฤดูกาล เรามีสติปัญญาเราก็หลบหลีกเอา นี่ไม่ได้ประชดเสียดสีสังคมใดๆ ทั้งสิ้น แต่ทำเพื่อคุณธรรมๆ ไง
ถ้าทอดกฐินเป็นธรรมๆ ไง คำว่า “เป็นโลก” เป็นโลกก็แข่งขัน แข่งขันช่วงชิง เป็นธรรม ใครจะมาก็ได้ ใครจะไม่มาก็ได้ มันเป็นเรื่องของหัวใจ หัวใจที่ยิ่งใหญ่มันแสวงหา ความแสวงหา ดูสิ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านแสวงหา เพื่ออะไร เพื่อสัจธรรมในหัวใจของท่าน
หลวงปู่ลีท่านบวชในงานศพของหลวงปู่มั่น เวลาท่านภาวนากับหลวงตา หลวงตาเคี่ยวเข็ญ เวลาหลวงตาท่านพูดไง “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา”
แล้วหลวงปู่ลีใครเป่ากระหม่อมมา
การเป่ากระหม่อมมา เป่ากระหม่อมมานี่เป็นธรรม คำว่า “เป็นธรรมๆ” มันเชื่อฟัง ดูสิ เวลาพระอานนท์ เวลาเทวทัตปล่อยช้างออกมาที่จะไสเข้าไปทำร้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอานนท์ไถลเข้าไปบังหน้าเลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ”
เพราะอะไร เพราะเขาต้องการช่วงชิงการปกครอง เทวทัตเวลาปล่อยช้างมา พระอานนท์เสียสละชีวิตเลย เวลาพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปที่ไหน พระอานนท์เป็นผู้อุปัฏฐากอุปถัมภ์ นี่ถ้ามันเป็นธรรมๆ
คนที่เป็นธรรมนะ หนึ่ง กตัญญูกตเวที ดูสิ พ่อแม่เลี้ยงลูกมา เป็นพระอรหันต์ของลูก แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของลูกศิษย์เป็นพ่อแม่ครูจารย์ เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งครูบาอาจารย์ เป็นหมดเลย แล้วทำไมมันจะไม่เคารพรัก แล้วคนที่มีดวงตาเห็นธรรม มันจะเคารพไหม มันจะเชื่อฟังไหม มันจะลงครูบาอาจารย์ไหม มันไม่ย้อนศร มันไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บ มันไม่ขุดคุ้ย มันไม่ทำลายไง นี่ถ้าเป็นธรรม ถ้าเราทอดกฐิน ความเป็นธรรมๆ น่ะ ความเป็นธรรมมันเป็นที่หัวใจนี่
พ่อแม่เลี้ยงลูกมา ลูกคนไหนเป็นคนดี ลูกคนไหนที่มันดูแลเรา ลูกคนไหนที่มันรักเรา ลูกคนไหนที่มันเชื่อฟังเรา นั่นน่ะธรรม มันอยู่ในใจ มันไม่ได้อยู่ที่ว่าลูก อู๋ย! คนโน้นได้ไอ้นี่ คนนี้ได้ไอ้นั่น เอามาประเคนกัน ไม่ใช่
ในหัวใจของเขา ในหัวใจของเขาที่เคารพบูชา ถ้าเขาเคารพบูชา เขาเชื่อฟังเรา เขาจะไปตกอยู่ที่ไหนจะใกล้จะไกล เขาระลึกถึงพ่อถึงแม่ของเขา
แต่ถ้ามันไม่ใช่นะ ถึงอยู่ใกล้เคียงกันมันก็ขุดหลุมพราง อยู่ใกล้เคียงกันมันก็ขุดหลุมพราง มันก็ทำลายตลอด นี่ถ้าเป็นโลก เป็นโลกมันช่วงชิง แต่ถ้าเป็นธรรมๆ เราปรารถนาความเป็นธรรม สิ่งใดที่เป็นธรรม ความเป็นธรรมมันเกิดมาจากไหน
จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ความรู้สึกนี้คือจิต จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันต้องเวียนว่ายตายเกิดตามข้อเท็จจริงของมัน เพราะมันมีความรู้สึกอันนี้ ความรู้สึกอันนี้ทำลายไม่ได้
ทุกคนมีความทุกข์แล้วอยากทำลายความทุกข์นั้นทิ้งไป แต่ความทุกข์นั้นมันเป็นนามธรรม มันทำลายมันได้ไหม มันทำลายมันไม่ได้ ยิ่งคิดถึงความทุกข์ยิ่งทุกข์ซ้ำทุกข์ซาก
แต่ถ้าคนที่พยายามหลีกเร้น กำหนดพุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันจะวางทุกข์ได้เป็นครั้งเป็นคราว คำว่า “เป็นครั้งเป็นคราว” คือมันปล่อยวางได้เป็นครั้งเป็นคราว เพราะมันเข้าลงมาสู่สัมมาสมาธิ แต่เรามาใช้ปัญญาขึ้นไป มันใคร่ครวญไป มันวิปัสสนาไป นั้นมันเป็นปัญญาของคน
นี่พูดถึงว่าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเกิดโดยเวรโดยกรรมของมัน ดูสิ ดูสสารเป็นธรรมชาติสิ มีการเสียดสี มีขั้วบวก ขั้วลบ มันทำปฏิกิริยา มันเกิดสสารใหม่ สสารใหม่
จิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่มันไป มันไปเพราะเวรกรรมของสัตว์ เวรกรรมของคนทำนี่
ฉะนั้นถึงบอกว่า สิ่งที่เป็นธรรมและเป็นโลก สิ่งที่เป็นธรรมๆ ถ้าเป็นสัจธรรม ถ้าเราไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คุณธรรมอันนี้มันจะเป็นอำนาจวาสนาบารมีทำให้ใจดวงนี้เกิดดีขึ้นเรื่อยๆ เห็นไหม
เวลาเกิดขึ้นมา เกิดมาด้วยกัน คนหนึ่งเกิดมาเป็นคนดี อีกคนหนึ่งเกิดมาเป็นคนดื้อคนรั้น ทั้งๆ ที่พ่อแม่เดียวกันน่ะ จิตเป็นของเขาๆ คำว่า “จิตเป็นของเขา” พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเกิดจากเวรจากกรรม จากเวรจากกรรม จากการกระทำ
แต่เกิดจากการกระทำ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐเพราะมีกายกับใจๆ
เวลานักภาวนานะ กายกับใจนี้สำคัญมาก เทวดาเขาไม่มีกาย เขามีกายทิพย์ พรหมก็เป็นทิพย์หมด เขามีแต่หัวใจ เขามีแต่ความรู้สึก เขามีความสุขของเขานะ แต่เวลาคนที่เขามีสติมีปัญญา เพราะอะไร เพราะเขาหมดอายุขัยของเขา เขาถึงมาฟังเทศน์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไอ้ของเรานี่คนดื้อ คนไม่เข้าใจ คนต่อต้าน คนดื้อรั้น แต่เอ็งก็หิวนะเว้ย เอ็งก็หิว เอ็งก็เจ็บไข้ได้ป่วย เห็นไหม ร่างกายนี้มันเรียกร้องอาหาร มันเรียกร้องความบำรุงรักษา
แล้วถ้ามันมีสติปัญญา ไอ้ที่เกิดเป็นมนุษย์ที่เป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ที่มีอำนาจวาสนา เพราะร่างกายนี้มันต้องการปัจจัย ๔ แล้วถ้าปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ มันก็แค่เฉพาะร่างกายนี้ต้องการเท่านั้น
แต่เวลาเราแสวงหา เราแสวงหาปัจจัย ๔ นี่เราแสวงหา ให้ใช้ล้านคนก็ไม่หมดนะ เวลากิเลสมันแซงหน้าไป อาหารกินมื้อเดียวเท่านั้นแหละ แต่มันจะสะสมไว้กินอีกชาติหน้า แล้วเน่าเสียหมดเลย ไอ้เน่าเสียนั่นคือกิเลสไง
เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของคนนะ มันหลอกลวงคน มันทำร้ายคน มันทำร้ายมาก ศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมนี้มาลดมาละมัน ถ้ายังฆ่ามันไม่ได้ มาลดมาละมัน นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลอค่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ
เวลาพระบวชนะ บวชจากฆราวาสมาเป็นพระ เป็นพระมันก็แสวงหา หาสัจจะหาความจริงในใจของตน ถ้าหาสัจจะหาความจริงในใจของตน เห็นไหม ตู้พระไตรปิฎกในใจ
เวลาบอกพระป่าไม่มีการศึกษา ไม่ศึกษา
ศึกษา ยิ่งศึกษามานะ เรามีกิเลสอยู่แล้ว ยิ่งศึกษามาแล้วมันยิ่งขยายความ มันยิ่งตีความ มันยิ่งประพฤติปฏิบัติได้ยากขึ้น การศึกษามาแล้วเพราะกลัวมันจะผิดพลาด ศึกษามาแล้ว หลวงปู่มั่นบอกหลวงตาไว้ หลวงตาเป็นพระมหา
มหา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ประเสริฐมากนะ เก็บใส่ลิ้นชักในสมองไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้อย่าให้มันออกมา ถ้ามันออกมา เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติมาก่อน การประพฤติปฏิบัติมันมีอุปาทาน มันมีความแสวงหา มันมีตัณหาความทะยานอยาก มันมีความทะเยอทะยานในใจ พอมีความทะเยอทะยาน มันจะคาดมันจะหมาย แล้วคนไปรู้ช่องทางของมัน
ศึกษามา ๙ ประโยครู้หมดเลย นิพพานเป็นอย่างไรก็รู้ เวลามันภาวนาไป นิพพานลอยมาข้างหน้าเลย...นิพพานหลอกๆ นิพพานหลอกๆ มันจะมาหลอกตลอดไง
ฉะนั้น เวลามหาไปหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอก มหา การศึกษามาจนเป็นมหา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐเลอเลิศเลอค่า แต่เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันโง่ มันอยากได้อยากดี มันอยากได้ ชิงสุกก่อนห่าม มันไม่เป็นไปตามขั้นตอนในการประพฤติปฏิบัติ มันไม่เป็นขั้นตอนตามความเป็นจริง ถ้ามันเป็นขั้นตอนตามความเป็นจริง ทุกคนจะไปโต้แย้งไม่ได้ เวลาประพฤติปฏิบัติบรรลุธรรมตามความเป็นจริง ใครก็ขัดแย้งไม่ได้ เวลามันเป็นจริง มันเป็นจริงตามความเป็นจริง แล้วเอ็งจริงหรือเปล่า
นี่ไง แต่ถ้ามันยังไม่จริง ถ้ากิเลสมันหลอกนะ เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติมาก่อน คนที่ประพฤติปฏิบัติ หลวงตาท่านพูดประจำนะ ไอ้คนที่ว่าเกิดมาชาตินี้แล้วที่ทุกข์ที่ยากนะ ท่านบอกว่า เอ็งอย่าเพิ่งพูดนะถ้าเอ็งยังไม่ได้ปฏิบัติ แล้วต้องปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ
ถ้าปฏิบัติไม่เป็นตามความเป็นจริง มันปฏิบัติหลอกๆ ปฏิบัติหลอกๆ มันก็เหมือนปฏิบัติแบบจัดฉาก แบบจัดฉากมันทำอย่างไรก็ได้ เพราะมันรู้ว่ามันจัดฉากไว้ เดี๋ยวมันจะเคลื่อนไปตามที่มันได้เขียนบทไว้
แต่ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ ท่านบอกเลยเอาชีวิตเข้าแลก เอาชีวิตเข้าแลก เอาความตายเข้าแลก
ถ้ายังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ อย่าเพิ่งพูดว่าชีวิตนี้ทุกข์ อย่าเพิ่งพูดว่าทำงานหนัก อย่าเพิ่งพูดว่าเรานี่บากบั่น อย่าเพิ่งพูด ถ้าแน่จริงให้มาประพฤติปฏิบัติก่อน การประพฤติปฏิบัติคือการเอาชนะตนเอง
ถ้ามีสติมีปัญญา ลมหายใจเข้าพุท ลมหายใจออกโธ กระบวนการการกระทำที่มันครบกระบวนการของมัน มันต้องเป็นสัมมาสมาธิแน่นอน
แต่ที่ทำกันนี้มันไม่ใช่ มันว่างๆ ว่างๆ เพราะมันเผลอ ว่างๆ เพราะมันปล่อยให้มันว่าง แต่ไม่มีสติควบคุมดูแล บริหารจัดการไม่ได้ เหมือนรถไม่มีคนขับมันสะเปะสะปะไปหมด ยานอวกาศปล่อยขึ้นไปแล้วนะควบคุมไม่ได้ ไปแล้ว แต่ถ้ายานอวกาศมันปล่อยขึ้นไปแล้วมันควบคุมได้ ควบคุมได้ ควบคุมด้วยสติ ควบคุมด้วยสติด้วยปัญญา ถ้ามันเป็นจริงๆ ไง
นี่พูดถึงว่า ถ้าประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ ถ้ามันเป็นธรรมๆ ถ้ามันเป็นธรรมมันก็จะเข้าสู่สัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีโลกกับธรรม
เวลาโลก ฆราวาสธรรม ที่เราทำคุณงามความดีเป็นธรรมะของฆราวาส ธรรมะของโลก ถ้าบอกว่ามีสมาธิๆ พวกฆราวาสปุถุชนมีสมาธิ ถ้ามันไม่มีสมาธิ บ้าหมด คนที่ไม่บ้าคือคนที่มีสมาธิ แต่เป็นสมาธิของปุถุชน ปุถุชนนะ ยังมีสมาธิสั้น สมาธิยาว คนสมาธิสั้นก็ควบคุมตัวเองไม่ดี คนสมาธิยาวก็ควบคุมได้ดีขึ้น แต่มันก็เป็นปุถุชน
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รูป รส กลิ่น เสียงที่มันหลอกลวงเรานี่เป็นบ่วงและเป็นมาร เวลาเป็นบ่วงมันก็รัดคอไง เวลาคิดถึงความทุกข์ความยากขึ้นมารัดคอตายเลย คนเราคิดถึงความทุกข์จนทนไม่ได้ ทำร้ายตัวเอง นี่คือเป็นบ่วง
ถ้าเป็นพวงดอกไม้มันก็มาหลอกมาล่อไง ที่นู่นก็ดี ที่นี่ก็ดี นู่นก็ยอดเยี่ยม ดีไปหมดเลย แต่ไม่เห็นตัวเอง ตัวเองไม่ดี
หายใจเข้านึกพุท หายใจออก พยายามประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา มันจะเห็นเลย รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร พอมันวางได้นะ หัวใจของเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีคุณค่ามากกว่า พอมีคุณค่ามากกว่า ทำความสงบของใจได้ นี้คือกัลยาณชน กัลยาณชน ผู้ที่ทำสัมมาสมาธิ
บอกว่า พวกเรามีสมาธิอยู่แล้ว แต่เป็นสมาธิของปุถุชน สมาธิแบบนี้เป็นสมาธิโลกๆ เวลาคนคิดงานๆ เขาอยากมีสมาธิ คนจะทำงานต้องการความสงบสงัด เขาต้องการของเขา ต้องการไม่ให้ใครมารบกวนการทำงานของเขา ไอ้นี่ก็หน้าที่การงานของโลกไง งานของโลกคืองานโลก งานโลกคืองานกิเลส งานโลกคืองานแสวงหา เวลาถ้าเป็นปัญญาก็เป็นโลกียปัญญา ปัญญาคิดงานเพื่อผลประโยชน์กับงาน ผลประโยชน์กับวิชาชีพ ผลประโยชน์กับสิ่งตอบแทน
แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราจะค้นคว้าหาจิตของเรา
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทุกคนสงสัยว่าเรามาจากไหน แล้วเราจะไปไหน แล้วเอ็งก็ต้องสงสัยต่อไป แล้วเอ็งก็จะต้องเกิดต่อๆ ไป
แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา พอจิตมันสงบนะ เห็นไหม ฤๅษีชีไพรเขายังระลึกชาติได้เลย ความระลึกชาติของเขา ความระลึกชาติของเขาด้วยสัมมาสมาธิ ด้วยสมาธิที่มั่นคงของเขา แต่พอสมาธิเขาอ่อนแอเขาก็พลั้งเผลอ ไอ้เรื่องระลึกชาติๆ ไร้สาระมาก ระลึกชาติ สิ่งที่คำว่า “ไร้สาระ” เพราะไม่ใช่มรรค
เวลาจะเป็นมรรค เห็นไหม นี่พูดถึงว่าเวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติมาก่อน ท่านเห็นเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสที่มันหลอกลวงมาก่อน ท่านถึงได้บอกหลวงตาไว้ว่า การศึกษา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่ประเสริฐมาก มีคุณค่ามาก แล้วลั่นกุญแจ
การศึกษาอย่างนี้ ปัญญาอย่างนี้เรียกโลกียปัญญา ถ้าในตำราพระพุทธศาสนาก็บอกว่าสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนี้ใส่ลิ้นชักสมองไว้ แล้วล็อกกุญแจมันไว้ด้วย ถ้าไม่ล็อกกุญแจไว้ เวลาปฏิบัติมันจะเสนอมาเลย ได้ขั้นนั้น ได้ขั้นนี้ ได้ขั้นนั้น
ได้ขั้นบ้า บ้าโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วตัวเองให้ค่าตัวเอง มันจะให้ขั้นไหนก็ได้
แต่ครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาถ้าเป็นจริงๆ ท่านจะถามเลย เอ็งจะได้ขั้นไหนไม่สำคัญ สำคัญว่าเอ็งทำอย่างไร คนเราไม่ได้ทำงานจะมีเงินไม่ได้ คนเราไม่เคยทำงาน เอาเงินมาจากไหน ถ้ามึงมีเงินต้องแจ้งสรรพากรตรวจสอบ ถ้ามึงมีธรรม ธรรมอะไร ธรรมคิดเอาเอง ถ้าคิดเอาเองมันไม่ใช่
ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกนะ เวลาสัจธรรม สัจธรรมที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นจากการกระทำ ถ้าเกิดขึ้นจากการกระทำ
นี่พูดถึงว่าโลกกับธรรม ถ้าเป็นเรื่องโลกๆ นะ เราก็ทำกันพอเป็นพิธี ทำแบบโลกๆ ถ้าทำแบบโลกๆ เราก็ได้แบบโลกๆ แต่ถ้าเราจะเอาความจริง เราจะฝังไว้ในหัวใจของเรา เราจะเอาสัจจะความจริงของเรา
เราตั้งใจของเรา เราจะทำบุญกฐินกับทาน เราตั้งใจเลย เราตั้งใจนะ เวลาเราตั้งใจแล้ว สิ่งที่มันเข้าไปที่เป็นทิพย์สมบัติๆ เวลาเทวดา อินทร์ พรหมเขาไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขาไม่มีร่างกายนี้ เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่เขาไปได้สมบัติทิพย์
นี่ก็เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดของเราที่มันเป็นจริงๆ เป็นจริงถ้ามันฝังลงไปในหัวใจของตน เวลามันคิดถึงสิ่งที่เราเคยกระทำมาแล้วเมื่อสิบปีที่แล้วก็ยังสดๆ ร้อนๆ อาหารที่เคยใส่บาตรเมื่อสิบปีที่แล้วยังไม่เน่าไม่บูดไม่เสียไม่หายนะ
แต่ถ้าเป็นอาหารมันบูดไปนานแล้ว แต่ถ้าเป็นทิพย์สมบัติมันไม่เสียมันไม่หาย นี่มันเป็นตามความเป็นจริง แต่เราไม่รู้ จิตใจอ่อนแอ ลังเลสงสัย พอลังเลสงสัย ล้มลุกคลุกคลานให้กิเลสมันหลอก ไม่มีความจริงอะไรขึ้นมาเลย
แต่ถ้าเป็นความจริง ฟังธรรมๆ ฟังธรรมแล้ว ในพระพุทธศาสนาอย่าให้เชื่อ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่คนพูด ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อว่าได้ยินมา ให้กลับไปทดสอบ ให้กลับไปค้นคว้า ให้กลับไปค้นหา ให้มันเป็นความจริงของมันขึ้นมา
ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นอริยสัจมันมีหนึ่งเดียว ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แล้วเอ็งดับอย่างไร เอ็งทำอย่างไรมันดับ ถ้ามันทำไม่ได้มันก็ไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริงมันก็เป็นความจำในสังคมโลก
นี่จะบอกว่า ถ้าเป็นโลกก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ เป็นโลกก็เรื่องของโลก เป็นโลกก็แข่งขันทางโลก แล้วแข่งขันทางโลก การประชาสัมพันธ์การโฆษณาชวนเชื่อเดี๋ยวนี้เขารับจ้างทำได้หมดน่ะ พระองค์ไหนอยากจะมีชื่อเสียงอย่างใด เขาจับฉลากให้ได้หมด ขอให้มีเงินจ่ายค่าจ้างมา
แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ ครูบาอาจารย์เราเข้าป่าเข้าเขาไปอยู่ในความสงบสงัดไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้มีค่าที่สุด เวลาถ้าสิ้นกิเลสไป เอโก ธัมโม ธรรมอันเอก ธรรมหนึ่งเดียวที่มันไม่เกิด มันไม่เกิดเพราะอะไรล่ะ
ของที่มันสกปรกโสโครก มันได้ล้างทำความสะอาดแล้วมันก็แวววาวของมันโดยข้อเท็จจริงอันนั้น
จิตใจที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ เราทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี่นะ เราพยายามสร้างบุญสร้างกุศลของเรา มันต้องสร้างบุญสร้างกุศลมันถึงฟังธรรมเป็น ฟังธรรมเป็นกับฟังธรรมไม่เป็นนะ
ถ้าฟังธรรมนะ เวลาฟังธรรมเอาแต่ได้ ทำบุญแล้วจะเป็นเศรษฐี ทำบุญแล้วจะร่ำรวย ทำบุญแล้ว แล้วก็บอกว่า ทำบุญแล้วไม่รวยสักที ทำบุญแล้วไม่รวยสักที
ไอ้รวยๆ ทำบุญรวยๆ รวยๆ ก็ใช้สอยก็ปัจจัย ๔ เท่านั้นน่ะ แต่พระพุทธศาสนาสอนให้ฉลาด สอนให้มีสติสัมปชัญญะ สอนให้ไม่เป็นเหยื่อของคนอื่น ไม่ต้องให้ใครหลอก หัวใจของเราให้มันอยู่ท่ามกลางหัวอกนี้ ใครไม่สามารถเอาหัวใจของเราไปได้ ถ้าเราไม่เป็นเหยื่อ
เราเองต่างหากอยากเป็นเหยื่อ พยายามจะทำตัวให้เป็นเหยื่อของเขา แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราทำตัวของเราให้เป็นไท ทำตัวของเราให้มีหลักการ ถ้าทำตัวของเรามีหลักการ พระพุทธศาสนาสอนที่นี่
ถ้าใครมีสติปัญญาแล้วนะ ในบ้านในเรือน ในญาติในตระกูลของเรานะ มีความร่มเย็นเป็นสุขทั้งนั้น ถ้าในครอบครัวของเรามีคนเกเร มีคนที่มันไม่ยอมเชื่อฟัง อันนั้นก็เป็นกรรมของสัตว์ ถ้ากรรมของสัตว์นะ ถ้ามันมีสติปัญญามันทำใจได้ คนที่อยู่ในความทุกข์อย่างนั้นแล้วมีธรรมโอสถคอยรักษาหัวใจของตน มันทนได้
ถ้ามันมีญาติพี่น้องของเราเป็นคนเกเร เป็นคนเอารัดเอาเปรียบบ้าง เราทนได้ เพราะมันเป็นกรรมของสัตว์ เขาสร้างเวรสร้างกรรมอย่างนั้นของเขามา เขาสร้างของเขามา พันธุกรรมของจิตๆ ใครปลูกต้นไม้สิ่งใดจะได้ผลตอบแทนสิ่งนั้น ใครได้ทำบาปอกุศลมา ใครได้ทำลายใครมา ใครได้ทำลายล้างมา มันจะฝังใจของมันมา ฝังใจของมันมา ทำดีขนาดไหนมันก็ฝังใจของมัน นี่มันเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์
แต่ถ้าวันไหนมันหมดเวรหมดกรรมนะ จิตใจมันพัฒนาขึ้น มันจะบอก เฮ้อ! จบ ถ้าได้เฮ้อ! จบนะ ถ้าไม่เฮ้อ! มันยังจองล้างจองผลาญ มันยังติดตามไปเพื่อจะเอาคืน มันยังตามของมันไป
นี่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น พระพุทธศาสนาสอนทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จะทำดีจะทำชั่วมากน้อยขนาดไหนเขาเป็นคนทำ คนไหนทำ คนนั้นต้องได้รับผลกรรมแน่นอน
กรรมนี้เป็นอจินไตย ใครทำดีทำชั่วเขาต้องได้รับผลกรรมนั้นแน่นอน ไม่รู้ว่าภพใดชาติใด เวลาใดเท่านั้น เวลาเราเป็นหมู่เป็นคณะกัน เราเบียดเบียนกัน เราคิดว่ามันจะจบสิ้นไง เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เขามาเกิดเป็นลูกเป็นหลาน เขามาเกิดอยู่ใกล้ตัว ร้องไห้เอา บีบบังคับเอา ควักหมดน่ะ ควักเกลี้ยงเลย นี่เวลากรรมมันให้ผลนะ ฉะนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ฉะนั้น พระพุทธศาสนาเลอค่ามาก เลอค่า ไม่ต้องอ้อนวอน ไม่ต้องขอใคร ไม่ต้องการให้ใครมาช่วยเหลือเจือจาน แต่ต้องอาศัยฟังธรรม ฟังธรรมมาเพื่อให้มีสติเพื่อให้มีปัญญา แล้วกาลามสูตร พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่ออยู่แล้ว
พระพุทธเจ้าสอนไว้เอง กาลามสูตรนะ อย่าเชื่อ อย่าเชื่อแม้แต่เราพูด อย่าเชื่อ แต่เวลาพูดแล้วกลับไปใคร่ครวญ
การใคร่ครวญนั้นเป็นสติปัญญาของเรา การใคร่ครวญ เราจำแล้ว เรามีประเด็นแล้ว เรากลับไปบ้านไปครุ่นคิด การครุ่นคิดนั้นคือการฝึกหัดให้เราเข้มแข็ง ไม่เป็นเหยื่อ เราพยายามครุ่นคิดหาเหตุหาผล
แล้วถ้ามันได้เหตุได้ผล ได้คุณธรรม คุณธรรมคือมันโล่ง มันปล่อยมันวาง มันปล่อยจากการบีบคั้น มันปล่อยจากความเครียด มันปล่อยจากความทุกข์ แล้วอยากได้มากขึ้นก็แสวงหาฟังธรรมต่อเนื่องไป แล้วพยายามฝึกหัดใช้ปัญญาของตนต่อไป นี้คือปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาจะทำหัวใจเราให้ผ่องแผ้ว เวลามันผ่องแผ้วแล้วมันอยากเจริญงอกงามมากขึ้นไปกว่านี้ มันจะน้อมไปหาสติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย
ทุกคนเกิดมาแล้ว กายนี้เป็นของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ ร่างกายนี้เป็นของเราหรือไม่ เป็นของเราชั่วอายุขัย แต่ความจริงมันไม่ใช่ เพราะมันต้องตายหมด เวลามันตายไปมันทิ้งร่างกายไว้นี่ แล้วเวลาไปไหนเขาก็ไปเผาหมดน่ะ ไม่มีใครเอาไปด้วย
แต่ถ้าเราใคร่ครวญโดยวิเคราะห์วิจัยนี่คือปัญญาของเรา มันจะไปกับจิตดวงนี้ เวลาคนตายเคาะโลงป๊อกๆๆ ทำบุญให้ ทำบุญให้ แต่ของเราไม่ต้อง
หลวงตาพูดเอง “ห้ามสวดกุสลา ธมฺมานะ เราทำพอแล้ว เราทำพอแล้ว ไม่ต้องใครให้”
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราใช้ปัญญาของเราๆ มันเป็นปัญญาของเรา ใครลักใครขโมยไม่ได้ ไม่ต้องไปจดลิขสิทธิ์ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “ไม่มีกำมือในเรา แบตลอด” แต่พวกเราทำกันไม่ได้
มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราไม่เข้มแข็ง กล่าวแก้คำจวบจ้วงของลัทธิต่างๆ ไม่ได้ เรายังไม่ยอมตาย
แต่เวลาวันมาฆบูชา เผยแผ่มา ๔๕ ปี มารเอย บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้ไอ้พวกที่มาหลอกแดกได้ ไอ้พวกที่มาหาเหยื่อได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน
แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ
พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ท่ามกลางหัวใจของทุกๆ คน ใครมีชีวิตคือมีจิตวิญญาณนั้นคือมีพุทธะ แต่เราขว้างทิ้งมันไป เราไปมองยศถาบรรดาศักดิ์ หน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติว่าเป็นสมบัติของเรา ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีคุณค่าคือพุทธะ คือความรู้สึก พุทธะคือผู้รู้ ใครไม่มีความรู้ ความรู้นั้นน่ะมีคุณค่าที่สุด แล้วไม่มีใครเคยเห็นมัน ไม่มีใครเคยเข้าไปสู่ตัวมัน
ถ้าเข้าไปสู่ตัวมันได้คือสัมมาสมาธิ แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาไปจะเข้าสู่สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง แล้วปฏิบัติไปมันจะพ้นจากทุกข์ไปได้
เริ่มต้นจากที่เราทำทานกันนี่ เราทำบุญกุศลกันเพื่ออำนาจวาสนาบารมี เราฟังธรรมๆ ฟังเทศน์แล้วกลับไปคิด อย่าเชื่อว่าพระสงบพูดอย่างนี้ เพราะพระสงบจะเอาผลประโยชน์ หลอกโยมทุกวันเลย
กลับไปคิดให้ดี พอคิดให้ดีคือปัญญาของเรา ใครคิดได้คือปัญญาของคนนั้น แล้วฝึกหัดคิด ฝึกหัดค้นคว้า ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เราจะเป็นคนดีมากขึ้น เราเป็นคนแข็งแรงมากขึ้น เพื่อประโยชน์กับเรานะ นี่พูดถึงว่าถ้าทอดกฐินเป็นธรรม
ทอดกฐินเป็นโลกก็แข่งขันความยิ่งใหญ่ แข่งขันยอดทำบุญ แต่ถ้าเป็นธรรมนะ เรามาด้วยหัวใจ เรามาด้วยลูกศิษย์ตถาคต อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เราจะคบบัณฑิต คบคนที่คิดที่จะใฝ่หา ที่จะค้นคว้าหาสัจจะความจริงของเรา
เราคบบัณฑิตแล้วเราแสวงหา เราทำบุญกุศลของเราเพื่อหัวใจของเรา ให้หัวใจเราฉลาด ให้หัวใจเราคิดเป็น ให้หัวใจเราพยายามแสวงหาทางออก
ไม่ต้องไปที่ไหน นั่งอยู่ที่บ้านนั่นแหละ มันอยู่ที่กลางหัวอกนี่ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ อยู่ที่ไหนก็หายใจได้ อยู่ในรถอยู่ในรา อยู่ในห้องอยู่ในหับ อยู่ที่ไหนทำได้ทั้งนั้น ค้นหาได้ทั้งนั้น ค้นหาพุทธะ สมบัติส่วนตนของเรา เอวัง